โครงงานวิชาIS1

โครงงานวิชา IS1

เรื่อง บัวลอยไข่หวานสูตรคุณย่าของฉัน

จัดทำโดย 

นางสาวทิพย์สุดา ทรัพย์รักษา ชั้นม.4/7 เลขที่ 11

ที่ปรึกษา

อาจารย์เกรียงไกร ทองชื่นจิต

โรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม

กิตติกรรมประกาศ

        โครงงานIS เรื่องบัวลอยไข่หวานสูตรคุณย่าของฉัน มีวัตถุประสงค์เพื่อจะพัฒนาบัวลอย
แบบดั้งเดิมคือการนำเผือก และแครอทมาแปลรูปทำเป็นบัวลอยขึ้น

       ในการทำโครงงานในครั้งนี้ขอขอบคุณ ครูเกรียงไกร ทองชื่นจิต ที่ช่วยให้คำปรึกษาใการทำโครงงานให้มีผลงานสำเร็จ และขอขอบคุณคุณย่าของฉันที่ให้สูตรและคำแนะนำดีๆในการทำ

โครงงานครั้งนี้        

บทคัดย่อ

             โครงงานเรื่องบัวลอยสูตรคุณย่าของฉัน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักและ ลิ้มลองบัวลอยสูตรเดิม  การทำบัวลอยของคุณย่าฉันนั้นนำเอาไส้เผือก แครอท มาใช้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง เพราะเผือก แครอท นั้นสามารถหาได้ง่ายในชุมชนจึงทำให้เผือก แครอท มีราคาถูก จึงเกิดการล้นตลาดละก็เน่าเสียไปด้วยและไม่ได้ใช้ประโยชน์ ย่าจึงใช้เผือกและแครอททำบัวลอยขึ้น
             การทำบัวลอยสูตรคุณย่า เรามีการทดลองทำจนแน่ใจว่าสามารถรับประทานได้และสามารถนำออก จำหน่ายได้ และบัวลอยยังมีรสชาติที่แปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบัวลอยของย่าฉันด้วย 

บทที่ 1

บทนำ

ที่มาและความสำคัญ
            บัวลอย จัดเป็นขนมไทยที่มีอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่ทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลต่างๆ วัตถุดิบการทำกลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องของรสชาติ สีสัน สวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการทำขนมอย่างประณีต
            ขนมไทย เป็นของหวานที่ทั่วอาณาจักรไทยได้ทำขึ้นมาประทานกันมาตั้งแต่โบราณ มีเอกลักษณ์ คือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบต่างๆ วิธีการทำ ที่มีความพิถีพิถันที่มุ่งให้มีรสชาติที่อร่อย หอม หวาน มีสีสันสวยงาม รูปลักษณ์น่ารับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ที่ประณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิดแตกต่างออกไป การทำขนมไทยเป็นอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนไทยนั้นเป็นคนมีลักษณะนิสัยอย่างไร เนื่องจากขนมไทยแต่ละชนิด ล้วนมีเสน่ห์ รสชาติแตกต่างกันออกไป และมีวิธีการทำอย่างพิถีพิถัน จึงแสดงให้เห็นว่าคนไทยเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ เป็นต้น  
   
วัตถุประสงค์

     ปัจจุบันคนไทยเริ่มทานขนมไทยกันน้อยลง เนื่องจากคนไทยหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้น และบริโภคของหวานน้อยลง ทางผู้จัดทำมีความคิดที่จำให้ขนมไทยมีความแปลกใหม่ขึ้นจึงได้ทำบัวลอยสามสหายขึ้นมา เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีการทำได้อย่างสะดวกขึ้น

สมมุติฐาน
สามารถใช้ไส้จากพืชธรรมชาติมาทำ และนำไปประกอบอาชีพในอนาคตได้

ขอบเขต
เน้นกลุ่มนักเรียน ครู โรงเรียนราชินีบูรณะ
ระยะเวลาในการดำเนินโครงงาน ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 5 กรกฎาคม พ.ศ.2561

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.เป็นแนวทางในการทำกิจกรรมเสริมเพื่อหารายได้ระหว่างเรียน
2.ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์จากพืชในชุมชน

3.เพื่อนำวัสดุในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และรู้จักแปรรูปของอาหาร

บทที่ 2

เอกสารที่เกี่ยวข้อง

แครอท

แครอท ชื่อสามัญ Carrot

แครอท ชื่อวิทยาศาสตร์ Daucus carota L. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)แครอท เป็นพืชในแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง เป็นที่นิยมปลูกและรับประทานทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าดินสอไปจนถึงขนาดใหญ่ และมีหลากหลายสี เช่น สีเหลือง สีม่วง แต่ที่นิยมรับประทานนั้นจะเป็นแครอทสีส้มและยังจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอีกด้วย

แครอทเป็นผักหรือผลไม้ ?

ตอบ แครอทเป็นผัก เพราะแครอทคือส่วนของราก ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพืชนั่นเอง แครอทจึงไม่ใช่ผลไม้

แครอทอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น เบตาแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และยังมีสารสำคัญคือสาร “ฟอลคารินอล” (falcarinol) ซึ่งช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็ง เป็นต้น สำหรับประโยชน์ของแครอทนั้นที่เด่น ๆ ก็เห็นจะเป็นการนำมาใช้ประกอบอาหารได้อย่างหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว ทั้งผัด ทอด แกง ต้ม ซุป สลัด ยำ ก็มีแครอทเป็นส่วนประกอบทั้งนั้น และยังมีเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างน้ำแครอทปั่นอีกด้วย ยังไม่หมดเท่านี้สรรพคุณของแครอทที่ใช้เป็นยารักษาโรคก็ใช้รักษาได้อย่างหลากหลายเช่นกัน

สรรพคุณของแครอท

1. ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้สดใสเปล่งปลั่ง

1. ช่วยป้องกันเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายได้ง่ายจากมลภาวะแสงแดดต่าง ๆ

1. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย

1. ช่วยบำรุงกระดูก ฟัน เหงือก เล็บ ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

1. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยและการเกิดริ้วรอยแห่งวัย

1. 

1. ช่วยสร้างสร้างภูมิต้านทานโรคของร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

1. ช่วยยับยั้งต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง

1. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย

1. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

1. ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนของเลือด

1. ช่วยบำรุงเซลล์ผิวหนัง

1. ช่วยบำรุงเส้นผม

1. ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต

1. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว

1. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา รักษาโรคตาฟาง และต้อกระจก

1. ช่วยรักษาโรคถุงลมโป่งพองและไทยรอยด์เป็นพิษ

1. ช่วยย่อยอาหาร และช่วยแก้และบรรเทาท้องผูก

1. แครอทมีสรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะ

1. ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน

1. ช่วยรักษาฝี แผลเน่าต่าง ๆ

ประโยชน์ของแครอท

1. นิยมนำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน

1. ใช้ทำเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพหรือน้ำแครอท หรือนำมาทำเป็นเค้กแครอท

1. ในด้านความงาม นำน้ำแครอทผสมมะนาว ทาผิวหน้าบำรุงผิวพรรณ ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

1. ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด เช่น สบู่แครอท เป็นต้น

เผือก

เผือก ชื่อสามัญ Taro (ภาษาจีนเรียกว่า โอ่วไน, โอ่วถึง, โทวจือ)

เผือก ชื่อวิทยาศาสตร์ Colocasia esculenta (L.) Schott จัดอยู่ในวงศ์บอน(ARACEAE)

เผือกมีสายพันธุ์มากกว่า 200 พันธุ์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเอดโด (eddoe) ได้แก่ Colocasia esculenta var. antiquorum หรือ Colocasia esculenta var. globulifera ประเภทนี้จะเป็นเผือกที่มีหัวขนาดไม่ใหญ่ และมีหัวเล็กกว่าล้อมรอบอยู่หลายหัว ทุกหัวใช้รับประทานและใช้ทำพันธุ์ได้ ส่วนอีกประเภทคือ ประเภทแดชีน (dasheen) ได้แก่ Colocasia esculenta var. esculenta ประเภทนี้เป็นเผือกที่มีหัวขนาดใหญ่ และมีหัวขนาดเล็กล้อมรอบ ใช้รับประทานได้ เผือกประเภทนี้ได้แก่ เผือกหอม ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกทั่วไปในบ้านเรา

เผือกในเมืองไทยเท่าที่ทราบจะมีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิด ได้แก่ เผือกหอม (ชนิดหัวใหญ่ แต่ละหัวมีน้ำหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม และมีหัวเล็กติดอยู่กับหัวใหญ่เล็กน้อย ใช้ต้มรับประทานได้ มีกลิ่นหอม ส่วนกาบใบเป็นสีเขียว มีขนาดใหญ่), เผือกเหลือง (หัวสีเหลืองขนาดย่อม), เผือกไม้ หรือ เผือกไหหลำ (หัวมีขนาดเล็ก) และเผือกตาแดง (ตาของหัวเป็นสีแดงเข้ม มีหัวเล็กล้อมรอบหัวใหญ่เป็นกลุ่มจำนวนมาก กาบใบและเส้นใบเป็นสีแดง)

ประโยชน์และสรรพคุณของเผือก 

– ช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง มีเรี่ยวแรงดี

– ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง

– ช่วยป้องกันภาวะฟันผุได้ดี เนื่องจากมีสารฟลูออไรด์อยู่สูง

– ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารและไตให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– ช่วยให้กระเพาะอาหารสามารถย่อยได้ง่าย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาการย่อย

– ช่วยบำรุงลำไส้ให้แข็งแรง

– ช่วยแก้ปัญหาจากภาวะท้องเสีย

  บทที่ 3

ขั้นตอนการดำเนินงาน

       

วิธีการดำเนินงาน

1.สืบค้นหาข้อมูล

2.รวบรวมข้อมูล

3.จัดทำเป็นรูปเล่มที่สวยงาม

4.จัดทำเป็นโครงงานนำเสนอ

 วัตถุดิบ

1.แป้งข้าวเหนียว

2.น้ำตาล

3.เกลือ

4.นมสด

5.เผือก

6.แครอท

8.น้ำเปล่า

วิธีทำ

 1.เริ่มจากต้มแป้งที่ปั้นไว้แล้วให้สุก โดยตั้งน้ำให้เดือด เทแป้งลงไป รอแป้งสุกลอยขึ้นมาตักใส่ตะแกรง ล้างน้ำแบบผ่านๆแล้ววางพักไว้

2.นมสด+น้ำตาล+เกลือ ใส่หม้อ ตั้งไฟอ่อน ต้มไปพอร้อนเห็นฟองขอบๆหม้อ(ไม่ถึงกับเดือด)ชิมรส

 3.เทนมข้นจืดลงไปตบท้าย รอร้อน เสร็จปิดไฟ พร้อมเสิร์ฟ ทานร้อนๆยิ่งอร่อย

                     

บทที่ 4

ผลการดำเนินการ

            จากการศึกษาค้นคว้าและฝึกทำบัวลอยสูตรคุณย่าผลที่ได้คือ ได้เรียนรู้วิธีการทำขนมที่ถูกวิธี และได้บัวลอยที่อร่อยตามฉบับคุณย่าของฉันอีกด้วย

บทที่5

สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

บัวลอยเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่โบราณ โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ วัตถุดิบการทำที่กลมกลืน พิถีพิถันในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมนั้นๆ

ข้อเสนอแนะ

    การทำรายงานค้นคว้าฉบับนี้มีข้อมูลครบถ้วนแต่อาจจะไม่สมบูรณ์เพียงพอ ผู้สนใจจึงควรศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการทำขนมบัวลอย ได้ที่แหล่องข้อมูลเพื่อการศึกษาข้อมูลที่ครบถ้วน